ประเทศไทยยืนยันความมุ่งมั่นในการพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มที่ยั่งยืน เร่งส่งเสริมโอกาสของปาล์มน้ำมันไทยในตลาดโลก

ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มเรียกร้องให้ส่งเสริมการรับรองของ RSPO เพื่อเพิ่มความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มที่ยั่งยืนของไทยทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก
 ประเทศไทย เป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันปาล์มรายใหญ่อันดับสามของโลก กำลังเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐและเอกชน เพื่อสร้างอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มที่ยั่งยืนมากขึ้น โดยองค์การเจรจาระหว่างประเทศว่าด้วยปาล์มน้ำมันยั่งยืน (RSPO)  ได้จัดแถลงข่าว  เพื่อให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับภาคอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มที่ยั่งยืนของประเทศไทย มีตัวแทนจากเครือข่ายปาล์มน้ำมันยั่งยืนประเทศไทย (TASPO) สำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเพื่อการผลิตปาล์มน้ำมันอย่างยั่งยืนศรีเจริญ เช้าร่วมแถลง

การผลิตน้ำมันปาล์มยั่งยืนของประเทศไทยมีการเติบโตอย่างโดดเด่นจาก 348,027 ตันในปี 2562 1,112,048 ตันในปี 2567 คิดเป็นกว่าร้อยละ 200 โดยศูนย์กลางการขยายตัวอยู่ในจังหวัดภาคใต้ ได้แก่ สุราษฎร์ธานี กระบี่ ชุมพร นครศรีธรรมราช และพังงา พื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันที่ได้รับการรับรองว่ายั่งยืน (CSPO) ของประเทศไทยครอบคลุมถึง 57,336 เฮกตาร์ หรือ 358,350 ไร่ ซึ่งเป็นผลจากการให้ความสำคัญของการส่งเสริมการเกษตรที่ยั่งยืนในประเทศ
นายอัสนี มาลัมพุช ประธานเครือข่ายปาล์มน้ำมันยั่งยืนประเทศไทย (TASPO) และประธานสมาคมโรงกลั่นน้ำมันปาล์ม ได้กล่าวว่า แม้ประเทศไทยจะมีการส่งออกน้ำมันปาล์มส่วนเกินในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) ที่ไม่มีมูลค่าเพิ่ม เราจำเป็นต้องทำให้น้ำมันปาล์มที่ผลิตในประเทศไทยดึงดูด และมีคุณภาพสูง “ต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน มีคาร์บอนต่ำ และเป็นการค้าที่เป็นธรรม”

“เกษตรกรต้องได้รับส่วนแบ่งที่เป็นธรรม และไม่ให้บริษัทเอกชนครอบครองผลประโยชน์ทั้งหมด" ประธานเครือข่ายปาล์มน้ำมันยั่งยืนประเทศไทยกล่าวเน้นย้ำถึงความสำคัญในประเด็นนี้
เกษตรกรรายย่อยเป็นกระดูกสันหลังของอุตสาหกรรมน้ำมันปาล์มของประเทศไทย โดยคิดเป็น 85% ของการผลิต เกษตรกรรายย่อยในประเทศไทยถูกกำหนดให้เป็นเกษตรกรที่มีที่ดินน้อยกว่า 50 เฮกตาร์ หรือ 312.5 ไร่  ประเทศไทยเป็นประเทศแรกของโลกที่มีการจัดตั้งกลุ่มเกษตรกรรายย่อยอิสระที่ได้รับจาก RSPO สี่กลุ่มในปี 2555
นางสาวรัฏดา ลาภหนุน ผู้จัดการด้านเทคนิคของ RSPO กล่าวว่า  เกษตรกรรายย่อยส่วนใหญ่ในประเทศไทยจัดการสวนปาล์มน้ำมันประมาณ 4-5 ไร่ และมักขาดทรัพยากรในการบริหาร จัดการอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ผลผลิตเฉลี่ยอยู่ที่ 3 - 3.2 ตันต่อไร่ ซึ่งถือว่าต่ำ และมีข้อจำกัดในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนและความรู้ ทำให้เกษตรกรมีอำนาจต่อรองด้านราคาค่อนข้างน้อยและส่งผลกระทบต่อความมั่นคง ทางเศรษฐกิจ

"RSPO ยังคงมุ่งมั่นที่จะส่งเสริมการรับรองให้กับเกษตรกรรายย่อยของไทย ซึ่งสอดคล้องกับความมุ่งมั่นของรัฐบาลไทยและภาคเอกชนในการผลักดันความต้องการผลิตภัณฑ์น้ำมันปาล์มคุณภาพสูงและยั่งยืน” นางสาวรัฏดา กล่าวเสริม ณ ตุลาคม 2567 การเป็นสมาชิกของ RSPO ในประเทศไทยประกอบด้วย 91 กลุ่มของเกษตรกรทั้งรายใหญ่และรายย่อย โดยมีกลุ่มเกษตรกรรายย่อยอิสระที่ได้รับการรับรองจาก RSPO 34 กลุ่ม ซึ่งครอบคลุม เกษตรกรกว่า 9,062 ราย โดยพื้นที่ที่ได้รับการรับรองรวมกว่า 283,818.69 ไร่
การรับรอง RSPO ช่วยให้เกษตรกรรายย่อยสามารถเข้าถึงทรัพยากร โอกาสทางการตลาด และราคาพิเศษสำหรับทะลายปาล์มสด (FFB) ซึ่งช่วยเพิ่มผลลัพธ์ทางเศรษฐกิจให้กับพวกเขา กลุ่มเกษตรกรรายย่อยที่ได้รับ การรับรองสามารถได้รับผลกำไรประจำปีสูงถึง 10.416 ล้านบาท (ประมาณ 287,401 ดอลลาร์สหรัฐฯ)
“เพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรปฏิบัติตามมาตรฐาน RSPO หน่วยงานรัฐบาลและภาคเอกชนจำเป็นต้อง เสริมสร้างการสนับสนุนผ่านการให้การศึกษาด้านปาล์มน้ำมันที่ยั่งยืน การสนับสนุนการก่อตั้งกลุ่ม และการ ปรับปรุงการเข้าถึงแหล่งเงินทุน” นายเชาวลิต วุฒิพงศ์ ประธานกลุ่มวิสาหกิจชุมชนเพื่อการผลิตปาล์มน้ำมันอย่าง ยั่งยืนศรีเจริญ กล่าว

กองทุนสนับสนุนเกษตรกรรายย่อย RSPO (RSSF) ได้ให้การสนับสนุนทางการเงินแก่เกษตรกรรายย่อย น้ำมันปาล์มเพื่อส่งเสริมการปฏิบัติที่ยังยืนตั้งแต่ปี 2557 โดยมีเกษตรกรรายย่อยในประเทศไทยได้รับประโยชน์ จำนวน 5,274 ราย โดยได้รับเงินสนับสนุนจำนวน 12,658,792 บาท (ประมาณ 383,101 ดอลลาร์สหรัฐฯ)
ดร. กาญจนา ขวัญเมือง รองเลขาธิการสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในนามของเลขาธิการคณะกรรมการนโยบายปาล์มแห่งชาติ ว่า “ตั้งแต่เดือนเมษายน 2567 กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ร่วมกับ กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงอุตสาหกรรม ได้ส่งเสริมและรับรองมาตรฐาน RSPO ความมุ่งมั่นของเรายังขยายไปถึงการสนับสนุนการวิจัยและพัฒนาที่ช่วยเพิ่มมูลค่าทางการค้า และช่วยทำให้แน่ใจว่าการปฏิบัติที่ยั่งยืนมีส่วนสนับสนุนให้ภาคเกษตรกรรมของเราเติบโตและเจริญรุ่งเรือง”

ในปี 2565 RSPO จังหวัดสุราษฎร์ธานี และภาคีพันธมิตร 6 องค์กรได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MoU) เพื่อยกระดับพื้นที่สุราษฎร์ธานีให้เป็นเมืองต้นแบบปาล์มน้ำมันยังยืนของประเทศไทย และเป็นศูนย์นวัตกรรมและเทคโนโลยีสำหรับปาล์มน้ำมันที่ยั่งยืนที่ได้รับการรับรอง
ตั้งแต่ปี 2565 พื้นที่ปลูกน้ำมันปาล์มที่ได้รับการรับรอง RSPO ในสุราษฎร์ธานีได้เพิ่มขึ้นจาก 82,178.31 ไร่ เป็น 107,789.31 ไร่ เพิ่มขึ้นคิดเป็น 31% การผลิตทะลายปาล์มสดที่ได้รับการรับรองเพิ่มขึ้นจาก 209,858.53 ตันเป็น 283,818.69 ตัน ขณะนี้การรับรอง RSPO ครอบคลุม 12 อำเภอ โดยมีเกษตรกรที่ได้รับ การรับรองจาก RSPO จำนวน 3,619 ราย RSPO ตั้งเป้าหมายที่จะขยายการรับรองไปยังพื้นที่ปลูกปาล์มน้ำมันใน ทุก 17 อำเภอของสุราษฎร์ธานี และยังได้ขยายไปยังพื้นที่อื่นๆเพื่อให้ครอบคลุมในการออกใบรับรอง เช่น ชลบุรี ตราด สระบุรี  รวมถึงพื้นที่ในเขตภาคตะวันออกเฉียงเหนืออีกด้วย

ประเทศไทยตั้งเป้าที่จะเน้นย้ำความพยายามอย่างต่อเนื่องในการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกในงานการสัมมนาประจำปีของ RSPO (RT2024) ซึ่งจะจัดขึ้นในวัน 11-13 พฤศจิกายน 2567 ณ โรงแรมอมารี กรุงเทพมหานคร โดยมีการเตรียมมอบการรับรอง RSPO ให้แก่กลุ่มเกษตรกรรายย่อยอิสระอีก 30 กลุ่มในงาน RT2024
การเติบโตนี้สะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของประเทศไทยในการยกระดับมาตรฐานการผลิตน้ำมันปาล์ม และส่งเสริมความยั่งยืนภายในภาคเกษตรกรรมของประเทศโดยมีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงคุณภาพชีวิตของเกษตร และชุมชนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตน้ำมันปาล์ม

แสดงความคิดเห็น (0)
ใหม่กว่า เก่ากว่า
www.taekpradennews.com
www.taekpradennews.com