นายกัณวีร์ สืบแสง หัวหน้าพรรคพรรคพลวัต พร้อมด้วย นายสุรพันธ์ ไวยากรณ์ รองหัวหน้าพรรคและนายสรยุทธ เพ็ชรตระกูล เลขาธิการพรรค ร่วมกันแถลงข่าวถึงการเปิดตัวครั้งแรกว่า พรรคมีจุดยืน แนวคิด และทิศทางการทำงานทางการเมือง โดยให้ความสำคัญกับคำว่า “Smart Support and Sincere” เพราะเชื่อว่า “ฉลาด เปิดกว้าง และผลักดัน และการลงมือทำ สำคัญกว่าวาทกรรมสวยหรู” ทั้งนี้พรรคพลวัตมีทีมงานบริหารที่เก๋าเกมทางการเมืองและคนรุ่นใหม่ เราไม่ได้เป็นเพียงทางเลือกหรือทางรอด" แต่คือ "ทางเดียว" (The Only Way) ที่จะพาไทยไปยืนบนเวทีโลก เพื่อดึงเม็ดเงินและเศรษฐกิจกลับมาแก้ปากท้องคนไทย “
นายกัณวีร์ สืบแสง หัวหน้าพรรคพรรคพลวัต กล่าวถึงเหตุผลในการตั้งพรรคพลวัติว่า จุดยืนและอุดมการณ์ของผม ต้องการสร้างบ้านหลังเล็กที่แข็งแรง ขณะเดียวกันโจทย์ประเทศขณะนี้ใหญ่และซับซ้อนมากขึ้น ผมจึงต้องการพื้นที่ที่อนุญาตให้ผมพุ่งชนปัญหาได้เร็วกว่าเดิมไม่ติดอยู่กับขั้นตอน ผมเชื่อมั่นว่าพรรคพลวัตจะนำเสนอสิ่งที่ดีที่สุดแก่ประชาชน และเป็นทางเลือกที่พรรคปฏิบัติได้จริง ผมรอไม่ได้ที่จะแก้ปัญหาที่เห็นอยู่ตรงหน้า ไม่ว่าจะเป็นวิกฤตการสู้รบไทย-กัมพูชา หรือปัญหาภัยพิบัติ ซึ่งการทำงานกับองค์การสหประชาชาติ (UN) สอนผมให้เน้น Action ไม่เน้น Process ที่ยืดเยื้อต้องเป็น Proactive Diplomacy ไม่ใช่แค่ตามแก้ข่าว ดังนั้นเลือกพรรคพลวัตจะไม่ได้แค่นักการทูต แต่จะได้อะไรที่มากกว่าการเมืองหรือการปกครอง
“นายกัณวีร์ รับ ตั้งพรรคการเมืองไม่ใช่เรื่องง่าย”
หัวหน้าพรรคพรรคพลวัต กล่าวว่า การที่จัดตั้งพรรคการเมือง ณ วันนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าจะจัดตั้งพรรคการเมืองได้ผมเรียนรู้จากคนที่ทำงานในสภาผู้แทนราษฎร แล้วรู้สึกว่ากว่าเราจะมาตั้งพรรคการเมือง ซึ่ง 2 สองเดือนที่ผ่านมามีทั้งการจัดตั้ง การทำโครงสร้างต่างๆ แต่ความมุ่งมั่นของคนทุกคนที่มาอยู่ในพรรคพลวัต เชื่อว่ามาด้วยความตั้งใจจริง มาทั้งน้ำตา มาทั้งรอยยิ้ม มาทั้งเสียงหัวเราะ เราทำงานร่วมกันจนวันนี้ เรามุ่งมั่นมากที่พยายามขยายฐานเสียงพรรค และเชื่อว่าประชาชนจะเห็นความตั้งใจจริง จึงอยากให้ประชาชนมีส่วนร่วม เพราะการเมืองของประเทศไทยหยุดนิ่งมาอย่างยาวนาน 2 ปี 7 เดือนที่ผ่านมา จึงอยากทำอย่างไรให้ประเทศเดินหน้า ฉะนั้นหากเราไม่มั่นใจเราทั้ง 3 คนจะไม่นั่งอยู่ที่นี่ในวันนี้
ส่วนโพลระบุว่า พรรคพลวัตมีโอกาสเป็น 1 ในพรรคร่วมรัฐบาลอย่างแน่นอนนั้น นายกัณวีร์ กล่าวว่า ผมพูดชัดเจนว่าอยากเป็นรัฐบาล เพราะนโยบายของเราชัดเจนในเรื่องของอุดมการณ์ ที่มาจากพี่น้องประชาชนโดยมีประชาชนเป็นศูนย์กลางในการจัดตั้งนโยบาย เราสามารถปฏิบัติจริงในฐานะเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ฉะนั้นสิ่งที่ชัดเจนคือ เราพร้อมเป็นพรรคทางเดียวที่จะผลักดันให้ประเทศไทย เดินหน้าต่อไปได้จากสังคมการเมืองที่หยุดนิ่ง
“พรรคพลวัตยึดมั่นในสิ่งที่ให้คำมั่นกับประชาชน คอยดูว่านโยบายเราที่ออกมาเป็นทางเดียวที่จะผลักดันให้ประเทศเดินหน้า ต่อไปได้กับปัญหาต่างๆที่รุมเร้า เพราะ 2 ปีกว่าที่ผ่านมาผมเห็นว่าประเทศไปไหนไม่ได้จริงๆ หยุดนิ่งเพราะการแบ่งแยก เราจะมาแทรกตรงกลาง และเป็นแสงสะท้อนออกมาให้กับสังคม ว่าพรรคการเมืองใหม่ที่มีคนทำงานได้จริงๆอยู่ตรงนี้”
นายกัณวีร์ กล่าวว่า นโยบายของพรรคอย่างแรก คือ ด้านการต่างประเทศแม้ว่าอาจจะจับต้องยาก เพราะในอดีตจนถึงปัจจุบันผมยังไม่เห็นว่ามีพรรคการเมืองไหน ชูในเรื่องของการต่างประเทศ 2 ปีกว่าที่ผ่านมาทุกคนเห็นแล้วว่าเรื่องของสถานการณ์ชายแดน ก่อให้เกิดผลลัพธ์และผลกระทบอย่างไร ทั้งเรื่องการค้า การลงทุน การส่งออก ประเทศมหาอำนาจยกเรื่องภาษีขึ้นมาต่อรอง และการผลักดันผู้ลี้ภัยกลับไปยังประเทศต้นทาง ขณะที่การทูตของไทยไม่เปลี่ยนแปลงนับ 100 ปี ฉะนั้นการพูดแบบเงียบๆประเทศไทยก็จะถูกเป็นลูกไล่ เพราะเราไม่มีจุดยืนในเวทีระหว่างประเทศ สุดท้ายประชาชนคนไทยจะได้รับผลกระทบตามมา ดังนั้นการเปลี่ยนแปลงการทางการทูตของไทยเป็นสิ่งสำคัญ ผมเป็นหัวหน้าพรรคจำเป็นที่จะต้องชูธง ว่าเราจะเน้นด้านไหนเพื่อทำให้พี่น้องประชาชนเห็นว่า เลือกพรรคเราแล้วประชาชนให้การสนับสนุนเราแล้ว ท่านสามารถที่จะคาดการณ์ได้ว่าเราจะเข้าไปปรับปรุงเปลี่ยนแปลงในช่องทางไหน
ทางด้านนายสุรพันธ์ ไวยากรณ์ รองหัวหน้าพรรคพลวัต กล่าวว่า ผมต้องการพรรคที่เปิดโอกาสให้ผมลงมือทำ เพราะผมถนัดวิ่งเข้าหาปัญหาเชื่อว่าการมาอยู่พรรคนี้ จะทำให้ผมได้ทำในสิ่งที่ดีที่สุดบนจุดยืนของผม นอกจากนี้พรรคมียุทธศาสตร์เฉพาะแต่ละพื้นที่ เรามั่นใจว่าปักธงได้แน่ๆ เพราะเน้นคุณภาพมากกว่าปริมาณ ตอนนี้เราปักหมุดจังหวัดที่พร้อมแน่ๆแล้ว 35 จังหวัด จาก Data ที่เราวิเคราะห์มาอย่างละเอียด เรามองเห็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ประมาณ 230 เขต ที่เรามีลุ้นและกำลังเจาะลึกลงพื้นที่หนักๆตอนนี้มีอยู่ 122 เขต ในจำนวนนี้ 97 เขต ที่ผมมั่นใจว่าเป็น 'Winning Zone' สามารถช่วงชิงเก้าอี้มาได้ สรุปตัวเลขกลมๆ ณ วันนี้พรรคพร้อมส่งผู้สมัครระดับตัวตึงที่ลงสนามเลือกตั้งได้แน่นอน 150 เขต เป็น 150 คนที่หวังผลได้จริง คาดว่าคะแนนที่เราจะได้อาจทำให้เราได้เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนประเทศ ณ ปัจจุบันที่ประชาชนยังลังเลหรือยังไม่ตัดสินใจ
“จุดมุ่งหมายในการเลือกตั้งครั้งนี้ในฐานะที่ดูยุทธศาสตร์พรรคพลวัตด้วยระยะเวลาที่จำกัด ณ ปัจจุบัน 17 ธันวาคมตอนนี้เราตั้งตัวแทนจังหวัดได้ 35 จังหวัดแล้วสามารถที่จะส่งผู้สมัครสส.เขตได้ 200-230 เขต ณ วันนี้เรามุ่งมั่นเป้าหมายของเราโดยถอดสมการ และยุทธศาสตร์ที่เราคาดหวังได้สส.อย่างน้อย 97 เขต และ 122 เขตที่เราดูจากสมการ ที่เข้าไปในพื้นที่คิดว่ามีโอกาส ขณะที่เป้าหมายในการส่งสส.เขตไม่ต่ำกว่า 150 เขตอย่างแน่นอน ส่วนปาร์ตี้ลิสต์ตอนนี้มีผู้ร่วมสนใจหลังจากที่เราเปิดตัว คิดว่าเข้ามาร่วมหลายคน และจะจัดลำดับผู้สมัครสส.ปาร์ตี้ลิสต์ให้เหมาะสม กับงานที่ทุกคนเข้ามาร่วมแต่ยืนยันวันนี้ว่าเราเรา 150 เขตแล้วส่งแน่นอน”
นายสรยุทธ์ กล่าวว่า ตอนนี้พรรคมีผู้เชี่ยวชาญที่เป็นนักบริหาร ที่มีพื้นหลังแต่ละคนเป็นนักบริหารมาก่อน ที่พรรคมั่นใจเพราะชื่อ “พลวัต”ก็บอกอยู่แล้วว่า คือ การขับเคลื่อนแล้วลงมือทำ ถ้าคิดแล้วไม่ได้ขับเคลื่อนก็ไม่มีประโยชน์ ฉะนั้นต้องลงมือทำด้วยและขับเคลื่อนไปพร้อมๆกัน ผมจึงมั่นใจทีมยุทธศาสตร์และนโยบายของเรา ควบคู่กับความสามารถของทุกคน รวมถึงทีมงานหลังบ้านและทีมงานที่ Support ในด้านต่างๆรวมถึงตัวผู้สมัครในแต่ละเขต เราคัดกรองอย่างดีมีเวลาในการทุ่มเท 24 ชั่วโมงในการคัดเลือกและสัมภาษณ์ ซึ่งเป็นคนในพื้นที่ในแต่ละจังหวัด ตำบลแต่ละจุดอย่างแน่นอน เป็นคนที่ชาวชุมชนเห็นแน่นอน ถึงแม้ว่าจะเป็นหน้าใหม่ในการลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่เป็นหน้าเดิมหรือเป็นคนในพื้นที่เห็นกันอยู่แล้ว ว่าคนเหล่านี้ทำงานในพื้นที่และช่วยเหลือรับรู้ปัญหาและสิ่งที่ต้องพัฒนาแต่ละชุมชนแต่ละจังหวัดอีกด้วย
“เลขาธิการพรรคพลวัต พร้อม เปิดโอกาสให้ตัวจริง ทำงานเปลี่ยนโครงสร้างการเมือง”
ขณะที่นายสรยุทธ์ เพ็ชรตระกูล เลขาธิการพรรค กล่าวว่าสาเหตุที่มาร่วมก่อตั้งพรรคพลวัต เพราะต้องการสร้างคนดีเข้ามาช่วยกันบริหารประเทศ การขับเคลื่อนของเรา คือ เปิดโอกาสให้ตัวจริง ได้ทำงานช่วยเปลี่ยนโครงสร้างการเมืองไทย และพัฒนาประเทศในทุกมิติ ต้องการสร้างสังคมที่มีทั้งคนเก่ง มีความสามารถ ไม่ใช่ “อยู่เป็น” คือ ก้มหน้ายอมจำนนไหลตามน้ำเพื่อเอาตัวรอดแต่ต้อง“อยู่ได้”และ“อยู่ดี”ด้วยฝีมือของตัวเอง เราต้องการเปิดพื้นที่ให้ Professional หลายฝ่ายเข้ามาบริหารประเทศ ที่ผ่านมาคนดี,คนเก่งไม่กล้ายุ่งเกี่ยวกับการเมือง เพราะมีคนบอกว่าทำการเมืองต้องใช้ทุนและเป็นสังคมอุปถัมภ์ ผมจึงอยากมาแก้ Pain point ตรงนี้ ดังนั้นเมื่อทั้ง 2 ท่านชวนมาทำพรรคการเมืองผมจึงไม่ลังเล
เลขาธิการพรรคพลวัต กล่าวว่า การจะขับเคลื่อนพรรคได้ต้องหาคนดีๆเข้ามาช่วยกันฉายแสง ความแตกต่างของพรรคพลวัต คือ ต้องเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดี เพราะการตั้งพรรคขึ้นมาจากฐานความคิด ซึ่งการที่ผมมีโอกาสเข้าไปทำงานกับหลายรัฐมนตรี หลายกระทรวง อาทิ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรมและสำนักนายกรัฐมนตรี ทำให้เห็นบริบทการบริหารประเทศ , เห็นพรรคข้าราชการ , เห็นนักการเมือง และหลากหลายอย่าง
นายสรยุทธ์ กล่าวว่า 30 ปีที่ผ่านมาผมถอดออกมา 4 เรื่องที่ทำให้ประเทศไทยติดกับดักแล้ววนอยู่ตรงนี้ ซึ่งทุกคนทราบและเริ่มมีความกังวล หลายคนพูดว่า “รัฐล้มเหลวมันเจ็บปวด” มันเกิดจากอะไรส่วนตัวมี 4 เรื่องที่เป็นห่วงและเชื่อว่าเป็นเทรนพอยประเทศ คือ
1. วงจรอุบาทว์ทางการเมือง เริ่มจากการที่เราพยายามให้ความสำคัญกับการเมืองที่เป็นทุน พอเข้ามาแล้วหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการตอบแทนกลับไป เช่น แต่ละพรรคจะมีการตกเขียว , มีกล้วยมาแจก เราเป็นประชาชนได้ยินคำพวกนี้เราก็เจ็บปวด เพราะท้ายที่สุดก็กลับมาสู่ สังคมอุปถัมภ์หรือคอนเน็คชันล้วนๆ
2.ประเทศไทยไม่มีภูมิคุ้มกัน ถามว่าทำไมสแกรมเมอร์และทุนเทาถึงไม่ไปประเทศอื่น ทำไมมาประเทศไทยเพราะประเทศไทยอ่อนแอ จ่าย-ซื้อได้ทุกระบบแบบวันสต็อปเซอร์วิส
3. เราให้ค่านิยมกับคนในประเทศแค่ 2 เรื่องคือ ขอให้มีเงินกับมีอำนาจ ไม่ว่าจะเข้ามาโดยวิธีไหนก็ได้ ความเก่ง คือ มือใครยาวสาวได้สาวเอา เข้าถึงอำนาจได้โดยไม่ผิดกฎหมาย ถ้าเราสร้างค่านิยมแบบนี้ต่อไปและประเทศจะอยู่อย่างไรใครอยากจะทำอะไรให้สังคม
4. ถ้าคนไทยอยากอยู่อย่างมีความสุข ก็ต้อง “อยู่เป็น” เปรียบกับสโลแกนที่ว่า “รู้รักษาตัวเราเป็นยอดดี” ตรงนี้คือปัญหาใหญ่ที่ทำให้เราไม่มีคนดีๆคนเก่งๆที่พร้อมจะทำงานให้ประเทศ เราถึงเจอคน 30 หรือ 40 คนที่เรียงหน้ากันเป็นรัฐมนตรีตลอดชีวิต หลับตาก็นึกภาพออกจำชื่อได้ วันนี้พรรคพลวัตจึงเกิดขึ้นโดยตั้งโจทย์ว่าทำอย่างไร เราจะเป็นผู้นำคนดีๆเข้ามาสู่สังคมและประเทศ
ภายหลังการแถลงข่าว พรรคพลวัตได้เปิดตัว นายอภิสิทธิ์ ไล่ศัตรูไกล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชนเข้ามาเป็นสมาชิกพรรคพร้อมสวมเสื้อสมาชิก
นายอภิสิทธิ์ กล่าวว่า อยากร่วมงานกับคนดีๆ กว่า 20 ปีที่ผ่านมาผมสอนหนังสือ ด้านสายศิลปะการออกแบบเศรษฐกิจสร้างสรรค เคยดำรงตำแหน่งสำคัญ เช่น อดีตผู้อำนวยการศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ (TCDC) และสำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA) เจตนาของผมอยากทำนโยบายที่รู้สึกว่าเข้าไปแล้วทำได้ อย่างน้อยผมสามารถทำให้คนที่อยู่ในชุมชนมีรายได้เพิ่มขึ้นเดือนละ 500-800หรือ 1000 บาท ผมคิดว่าจับต้องได้ ฉะนั้นผมอยากทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์ในคาแรกเตอร์ เน้นสิ่งที่คิดว่าเป็นไปได้จริง และเห็นว่าทั้ง 3 ท่านพูดในเรื่องของความจริง ฉะนั้นโอกาสนี้ผมขอฝากถึงพี่น้องประชาชนว่า เราอยากทำสิ่งที่คุยกันไว้ให้จริงเสียทีตามที่พรรคทำได้จริง