ประธานบอร์ดอ.ส.ค.กำชับอ.ส.ค.เร่งหามาตรการรับมือเพื่อลดผลกระทบจากการเปิดเสรีทางการค้าของเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนม  พร้อมปรับมาตรฐานด้านการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์นมไทย-เดนมาร์คเพื่อฟื้นฟูรายได้หลังประสบปัญหายอดขาดตกจากวิกฤติโควิด-19
 นายอำพันธุ์   เวฬุตันติ   อธิบดีกรมตรวจบัญชีสหกรณ์ในฐานะประธานกรรมการองค์การส่งเสริมกิจการโคนมแห่งประเทศไทย(อ.ส.ค.) เปิดเผยทิศทางในการบริหารอ.ส.ค.ว่ามีแผนที่จำดำเนินการเร่งด่วนใน 3 เรื่อง     เรื่องแรกคือการเร่งมาตรการเพื่อเตรียมรับมือการเปิดเสรี FTA ไทย-ออสเตรเลียและไทย-นิวซีแลนด์ที่
4ไทยต้องลดภาษีนำเข้าเป็นศูนย์ในสินค้านมและผลิตภัณฑ์นมในปี 2564 และปี 2568 ซึ่งมีสินค้าเกษตรหลายชนิดที่เกี่ยวกับอ.ส.ค.และเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมจะได้รับผลกระทบ อาทิ   โคนม น้ำนมดิบ  จำเป็นที่จะต้องเร่งหามาตรการในการยกระดับและพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมตั้งแต่ระดับต้นน้ำ  กลางน้ำและปลายน้ำเพื่อเพิ่มคุณภาพการผลิตน้ำนมโคให้ได้มาตรฐานควบคู่กับการเร่งลดต้นทุนการผลิตให้เกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมเพื่อให้สามารถแข่งขันด้านคุณภาพและราคากับนานาประเทศได้ในอนาคต   
นายอำพันธุ์    กล่าวต่อด้วยว่า  ปัจจุบันอ.ส.ค.เป็นองค์กรที่มีศักยภาพสูงและเป็นรัฐวิสาหกิจหลักที่ทำหน้าที่ในดูแลโคนมอาชีพพระราชทานให้เป็นอาชีพที่มีความมั่นคง ยั่งยืนตลอดอยู่คู่ประเทศไทยตลอดไป  การส่งเสริมเกษตรกรในเครือข่ายให้ผลิตน้ำนมให้มีคุณภาพให้เกษตรกรอยู่ได้ด้วยการลดต้นทุน เพื่อให้เกษตรกรนั้นมีอาชีพการเลี้ยงโคนมที่ยั่งยืนจึงถือเป็นภารกิจสำคัญของอ.ส.ค.ที่จะต้องเร่งขับเคลื่อนโดยเร็ว  ซึ่งปัจจุบันอ.ส.ค.มีเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมที่อยู่ในเครือข่ายมากถึง 5,000 ฟาร์ม มีโคนมประมาณ 600,000 ตัวหากไม่เร่งมามาตรการรับมือและเตรียมความพร้อมจะส่งผลกระทบต่อเกษตรกรอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง  
นอกจากนโยบายดังกล่าวแล้ว  ยังมอบหมายให้เร่งปรับกลยุทธทางการตลาดและการขายเพื่อหาช่องทางตลาดใหม่ๆให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคทุกเพศ ทุกวัยและทุกภูมิภาคอย่างกว้างขวางมากยิ่งขึ้น    เนื่องจากในปีสองปีที่ผ่านมาประสบภาวะสถานการณ์โควิดแพร่ระบาดทำให้รายได้ลดลงเนื่องจากตลาดซบเซาลง  ดังนั้น  การปรับทั้งด้านมาตรฐานในการผลิต การขนส่ง รวมถึงการทำการตลาดและการจัดจำหน่ายเพื่อตอบสนองกับกลไกลของตลาดและพฤติกรรมของผู้บริโภคที่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาจึงถือเป็นหัวใจสำคัญของการทำตลาดในปัจจุบัน  ควบคู่กับเจาะตลาดกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านให้มากขึ้นเพื่อลดผลกระทบรายได้ของ อ.ส.ค.ในอนาคต
 
  