ผ่านไปแล้ว 6 วัน สำหรับ “ศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกลด้วยพระบารมี” ปี 2565 “พช.” ปลื้มหนักกระแสผ้าไทยฟีเวอร์ 6 วันทำยอดขายพุ่งทะลุ 115 ล้าน ฉลอง “วันผ้าไทยแห่งชาติ” ปีแรก โดยเฉพาะโซนของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพฯ มีผู้ที่ชื่นชอบผ้าไทยเข้ามาอุดหนุนอย่างคึกคักตลอดทั้งวัน ในขณะโซนโอทอปชวนชิม-อาหารสร้างรายได้ให้พ่อค้า-แม่ค้ากว่า 37 ล้าน
นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน ได้เดินทางมาให้กำลังใจผู้ประกอบการโอทอปที่นำสินค้าและผลิตภัณฑ์มาจำหน่ายในงาน “ศิลปาชีพ ประทีปไทย OTOP ก้าวไกลด้วยพระบารมี” ปี 2565 ที่กรมการพัฒนาชุมชน จัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่มีต่อการอนุรักษ์และสืบสานภูมิปัญญาของคนไทย รวมทั้งเพื่อประชาสัมพันธ์การดำเนินงานโครงการหนึ่งตำบล หนึ่งผลิตภัณฑ์ ระหว่างวันที่ 12-20 สิงหาคม 2565 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพค เมืองทองธานี ซึ่งภายในงานบรรยากาศภายในงานเป็นไปอย่างคึกคักมีประชาชนเข้าเยี่ยมชมงานอย่างหนาแน่นตลอดทั้งวัน
นายสมคิด จันทมฤก อธิบดีกรมการพัฒนาชุมชน กล่าวว่า แม้ปัจจุบันประเทศไทยยังคงประสบปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 และคนไทยตกอยู่ในภาวะเศรษฐกิจไม่สู้ดี แต่รู้สึกภาคภูมิใจแทนผู้ประกอบการโอทอป ทั้ง 2,000 รายที่ได้รับการอุดหนุนอย่างอบอุ่นจากคนเมืองและประชาชนจากจังหวัดใกล้เคียง โดยเฉพาะปีนี้ พช.ได้ให้ความสำคัญในการส่งเสริม ”ผ้าไทย “ ซึ่งมีอัตลักษณ์ไทยที่แสดงถึงอัตลักษณ์และสะท้อนมรดกภูมิปัญญาวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี และประวัติศาสตร์ อันโดดเด่นของแต่ละจังหวัดรวบรวมมาไว้ในงานกว่า 30,000 ผืนให้ทุกคนได้เลือกซื้อเลือกชม ซึ่งแนวทางของพช.ถือว่าสอดคล้องกับมติครม.ที่เห็นชอบให้วันที่ 12 สิงหาคม ของทุกปี เป็น “วันผ้าไทยแห่งชาติ” เพื่อรณรงค์เผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ทุกภาคส่วน ได้น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ที่ทรงอนุรักษ์ ส่งเสริม สืบสานผ้าไทย ให้เป็นที่ประจักษ์มายาวนานให้กลับมาได้รับความนิยมอีกครั้ง สามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ นำไปสู่การพัฒนาคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน
“ในรอบ 6 วันที่ผ่านมา สินค้าและผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการอุดหนุนจากประชาชนมากที่สุด คือสินค้าหมวดผ้า ทำยอดขายสูงสุดคิดเป็นมูลค่ากว่า 115 ล้านบาท รองลงมาคือหมวดอาหารและชวนชิมทำยอดขายรวมกันมากถึง 37.6 ล้านบาท นั่นแสดงให้เห็นว่ากระแสผ้าไทยกำลังกลับมาเป็นที่นิยมในหมู่คนไทยอีกครั้ง ภูมิใจที่คนไทยเห็นคุณค่าและสนับสนุนคนไทยด้วยกัน ซึ่งนอกจากจะมีผ้าไทยที่ได้รับความนิยมในหมู่คนไทยด้วยกันแล้ว คนไทยยังชื่นชอบอาหารไทยอีกด้วย รับรองว่ามางานนี้ เพียงงานเดียวได้ทานของกินอร่อยครบทุกภาค เพราะเรายกทัพอาหารของดีทุกภาคมาไว้ในโซนโอทอปชวนชิมกว่า 164 ร้านค้า” นายสมคิด กล่าว
สำหรับ ผลิตภัณฑ์ผ้าไทยที่มียอดจำหน่ายสูงสุดในงาน คือเกือบ 115 ล้าน นับเป็นผลิตภัณฑ์ที่ความนิยมจากผู้ที่ชื่นชอบผ้าไทยอย่างคึกคักตลอด 6 วัน โดยเฉพาะโซนของมูลนิธิส่งเสริมศิลปาชีพในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ จะได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ เนื่องจากผ้ามีความสวยงาม และมีให้เลือกหลากหลาย จำหน่ายในราคาตั้งแต่หลักสิบถึงหลักพัน ตลอดวันมีประชาชนแวะเวียนเลือกซื้อหาสินค้ากันไม่ขาดสาย นอกจากนี้ ในส่วนของโซนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผ้าไทย ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็น โซนผ้าไทยใส่ให้สนุก โซนตลาดกลางเส้นไหมและเส้นใยธรรมชาติ และโซน First Lady
นอกจากผ้าไทยที่นำมาจำหน่ายในราคาย่อมเยาว์แล้ว ยังมีผ้าไทยที่มีความสวยงามและทรงคุณค่าที่สร้างความตะลึงให้กับผู้เข้าชมงานเป็นอย่างมาก คือผ้าไทยที่โชว์อยู่โซนศิลปินโอทอป มีมูลค่าสูงถึงผืนละ4 แสนบาท ของนายณกรณ์ ตั้งหลัก ศิลปินโอทอป ปราชญ์หม่อนไหม (ด้านฟอกย้อมสีธรรมชาติ สาขาย่อย ย้อมครั่ง) โดยผ้าผืนดังกล่าวเป็น “ ผ้ายกลายเทพพนม” ผู้ทอคุณยายสุมิตรา ทองเภ้า ครูช่างศิลปหัตถกรรม ปี2565 อายุ 76 ปี เป็นผ้ายกลายโบราณ ที่ได้รับการถ่ายทอดจากคุณยายพยอม สีนะวัฒน์ ผู้เป็นอัจฉริยะแห่งผ้าไหมไทย และสามารถประยุกต์ลวดลายต่างๆ ผ้าขิดและผ้าโบราณ เพื่อใช้งานในรูปแบบต่างๆ เช่น ทอเป็นผ้าห่ม ฯลฯ
ผ้ายกลายเทพพนม เป็นลวดลายอัตลักษณ์ในรูปแบบที่มีความเป็นอีสาน เหลี่ยมมุมลวดลายที่แตกต่างจากท้องที่อื่น ผ้ายกลายเทพพนมผืนนี้ ทอด้วยเส้นไหมพันธุ์พื้นบ้าน ย้อมด้วยสีธรรมชาติ มีสีครั่งเป็นสีหลัก จังหวัดมหาสารคาม มีกลุ่มเกษตรกรผู้เลี้ยงไหม และผู้เลี้ยงครั่งเพื่อย้อมเส้นไหมอันดับต้นๆของประเทศ สีครั่งถือว่าเป็นสีประจำท้องถิ่น โดยมีแนวคิดให้ในการส่งเสริม “มหาสารคาม มหานครแห่งครั่ง ราชาแห่งสีย้อมไหม”
นอกจากนี้ ที่สร้างความสนใจและฮือฮาไม่น้อยไปกว่ากัน คือผ้าโบราณอายุราว 100-120 ปี ของศูนย์การเรียนรู้ผ้าปะลางิงจังหวัดยะลา ที่จัดโชว์ในโซนศิลปินโอทอป ซึ่งอาจารย์ปิยะ สุวรรณพฤกษ์ ประธานกลุ่มศรียะลาบาติก (ศูนย์เรียนรู้ผ้าปะลางิง จังหวัดยะลา) ได้นำมาโชว์ในงาน อาจารย์ปิยะเล่าว่า ผ้าแต่ละผืนมีมูลค่าหลากหลาย ตั้งแต่หลักหมื่นไปถึงหลักแสน อาทิ ผ้าจวนตานี ชุดนี้มีหลากหลายสกุลช่างในท้องถิ่น เป็นผ้ามัดหมี่ นิยมใช้กันมากในกลุ่มชนชั้นสูงของเมืองปัตตานี และเมืองใกล้เคียง ลักษณะการทอใช้เส้นใยเล็กละเอียด เรียกว่าไหมน้อย โดยการทำมี 2 ลักษณะ คือการทำด้วยการมัดหมี่ทั้งผืน การทอยกและผสมกับการมัดหมี่ การทอยกดอกจะมีหลากหลายลวดลาย เช่น ลายดวงดาว ลายดอกไม้ ลายดวงอาทิตย์ ลายตะเกียงทอง เป็นต้น
ส่วนผ้าลิมาซองเก็ต เป็นผ้าที่ตกทอดจากลูกหลาน(มณฑลปัตตานี) ลักษณะทอสอดเส้นทอง ที่เรียกว่า มัสจันตง ใช้ในงานพิธีสำคัญ ผ้าปะลางิง (เปลังงี) ชุมชนท้องถิ่นจะเรียกว้าผ้าสายรุ้ง เพราะมีหลากหลายสีในผ้าผืนเดียวกัน เป็นผ้าที่พบในคาบสมุทรมลายู โดยมีลักษณะวิธีการทำแบบเดียวกับผ้ามันดาห์นาส์ของอินเดีย คือ ทอ มัดจุด เนา รูด ย้อม พิมพ์ เพ้นท์ ผ้าบางผืนที่พบมีการผลิตในพื้นที่ภาคใต้ แต่ลดขั้นตอนในการทำผ้า (ยะลา ปัตตานี)แม่พิมพ์ใช้การแกะไม้เป็นการสร้างลวดลาย ประกอบผสมกับการมัดย้อมสีที่ใช้ มีทั้งสีธรรมชาติและสีเคมี
นอกจากนี้ ในส่วนของโซนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับผ้าไทยไม่ว่าจะเป็น โซนผ้าไทยใส่ให้สนุก โซนตลาดกลางเส้นไหมและเส้นใยธรรมชาติ และโซน Frist Lady และโซนอื่นๆ อาทิ ผลิตภัณฑ์ OTOP : KBO / OTOP Brand name / OTOP Premium / OTOP Trader / OTOP ชวนชิม รวมถึงผักและผลไม้ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีเช่นกัน
“การจัดงานมาถึงโค้งสุดท้ายแล้ว ผมขอเชิญชวนทุกท่านมาชม ชิม ช้อป และร่วมภาคภูมิใจไปกับผลิตภัณฑ์จากภูมิปัญญาไทย โดยเฉพาะผ้าไทย เพื่อเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยสร้างโอกาส และสร้างรายได้ให้กับผู้ผลิตผู้ประกอบการ OTOP โดยงานจะมีไปถึง 20 สิงหาคมนี้ ที่อาคารชาเลนเจอร์ 1 – 3 เมืองทองธานี ครับ” นายสมคิด จันทมฤก กล่าว