17 พฤษภาคม 2565 โรงเรียนนายร้อยตำรวจ โดยการสนับสนุนของสำนักการวิจัยแห่งชาติ (วช.)จัดประชุมเผยแพร่งานวิจัยเรื่อง การพัฒนาระบบภาคีเครือข่ายอาชีพเพื่อรองรับการกลับคืนสู่สังคมของเด็กและเยาวชนที่เคยกระทำผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ณ โรงแรม เอสดี อเวนิว ปิ่นเกล้า
โดยจัดกิจกรรมแสดงเจตจำนงร่วมกันระหว่างกรมพินิจฯ ศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชน จำนวน 6 แห่ง และภาคีเครือข่ายสถานประกอบการ จำนวน 16 แห่ง ในการบูรณาการความร่วมมือเพื่อส่งเสริม ให้เด็กและเยาวชนที่อยู่ระหว่างโปรแกรมการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อย ได้พัฒนาทักษะทางวิชาชีพที่ตรง ตามความต้องการของตลาดแรงงานจากผู้ประกอบการมืออาชีพ มีโอกาสในการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ รวมถึงการเพิ่มโอกาสในการมีงานทำ มีอาชีพ และมีรายได้ที่เหมาะสมเมื่อได้รับการปล่อยตัวกลับคืนสู่สังคม
พ.ต.ต.ดร.ปริญญา สีลานันท์ โรงเรียนนายร้อยตำรวจ หัวหน้าโครงการวิจัย รายงานผลการวิจัย ด้านคุณสมบัติของเด็กและเยาวชนที่ตรงตามความต้องการของสถานประกอบการว่าจะต้องประกอบไปด้วย ทักษะทั้งด้าน Hard Skill และ Soft Skill และผลการสำรวจความต้องการประกอบอาชีพของเด็กและเยาวชน เมื่อกลับคืนสู่สังคม จำนวน 307 คน พบว่า เด็กและเยาวชน ร้อยละ 54 มีความสนใจในการประกอบอาชีพอิสระ เนื่องจากมีความคล่องตัวและชอบความเป็นอิสระ รองลงมาร้อยละ 43 ยังต้องการเข้าทำงานกับ สถานประกอบการเนื่องจากมีความเสี่ยงน้อยและมีรายได้ที่แน่นอน
และจากการศึกษาวิจัยในครั้งนี้ พบว่า ปัญหาที่เยาวชนกระทำผิดกฎหมาย มีการกระทำผิดซ้ำอีกมีแนวโน้มมากขึ้น จากการตรวจสอบข้อมูลพบว่าผู้กระทำผิด มีการกระทำผิดซ้ำอีก มากกว่าร้อยละ40 ของ ผู้ที่เข้าสถานพินิจฯ และพบว่า เป็นคดียาเสพติดที่กระทำผิดซ้ำ กว่าร้อยละ27 นอกจากนั้นเป็นคดีอื่นๆร้อยละ13 ของผู้กระทำผิดซ้ำ ที่น่าห่วงคือเด็กที่เข้าไปอยู่ในสถานพินิจฯออกมาแล้ว ไม่มีงานทำ ไม่มีเงินในการดูแลตนเอง จึงหวนกลับไปกระทำผิดซ้ำ ทางทีมวิจัยจึงได้จัดทำโครงการที่จะเป็น แกนกลางในการเชื่อมโยง ระหว่าง สถานพินิจกับผู้ประกอบการ ในการหาแหล่งงาน ให้กับเยาวชน ที่กำลังจะออกมาสู่สังคม ได้มีโอกาสทำงานเพื่อเลี้ยงชีพได้ โดยมีการประสานงานในการฝึกอบรม อาชีพ ให้กับเยาวชนที่หลงผิดเหล่านี้ได้เข้าไปฝึกอบรมอาชีพ ตามความถนัดของเด็กและเยาวชน ให้มีอาชีพติดตัวผ่านบริษัท ห้างร้าน เอกชนต่างๆ ที่จะเป็นการให้โอกาสกับเด็กและเยาวชน ที่หลงผิดให้กลับมาเป็นคนดีในสังคมต่อไป
ศ.พล.ต.ต.หญิง ดร.พัชรา สินลอยมา ผู้บริหารจัดการโครงการวิจัย กล่าวว่าปัญหาเด็กและเยาวชนที่กระทำผิดในขณะนี้ถือว่าเป็นปัญหาใหญ่ที่กระทบต่อปัญหาสังคม และปัญหาด้านเศรษฐกิจโดยรวมทั้งระบบ เพราะเด็กและเยาวชนเหล่านี้กำลังก้าวเข้าสู่วัยผู้ใหญ่จึงต้องเร่งแก้ปัญหา ที่กำลังจะส่อเค้ารุนแรงมากขึ้น ทางทีมงานจึงเสนอแผนงานเพื่อทำการวิจัยและแก้ปัญหาต่อสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ ทำการวิจัยและหาทางออกกับปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นและป้องกันไม่ให้เด็ก เยาวชนกลับมาสู่วังวนเดิม
โดยปัญหาใหญ่มากที่สุดสู่การกระทำผิดคือเด็กขาดแคลนเงิน จึงพยายามที่จะหาเงิน และหาเงินในทางที่ผิดโดยเข้าไปอยู่ในขบวนการค้ายาเสพติด เพราะหาเงินง่าย แนวทางในการแก้ปัญหาคือต้องสร้างโอกาสให้กับเด็กและเยาวชนที่หลงผิดโดยจะได้มีการฝึกอบรม สร้างอาชีพและให้คำแนะนำ ตามความต้องการของแต่ละคน มีการประสานงานกับกรมพินิจฯ เพื่อฝึกอาชีพและเตรียมความพร้อมของแต่ละคน เด็กส่วนใหญ่มีความถนัดที่หลากหลาย ทั้งงาน ช่าง อาชีพอิสระด้านต่างๆ โดยเฉพาะอาชีพขายของทางออนไลน์ มีนักขายออนไลน์มืออาชีพเข้ามาช่วยฝึกอบรมเทคนิคการขายให้ ส่วนงานอื่นๆทางกรมพินิจ ฯ จะมีพี่เลี้ยงคอยแนะนำอาชีพและฝึกอบรมให้ก่อนที่จะออกมาสู่สังคมอีกด้วย
นางสาว นาฑีรัตน์ บุญรัตน์ ตัวแทนจากบริษัท ฟู้ดแพชชั่น จำกัด หนึ่งในภาคเอกชนที่เข้ามาร่วมโครงการดังกล่าว กล่าวว่า ทางกลุ่มบริษัททำธุรกิจเกี่ยวกับอาหารและโรงแรม โดยเป็นเจ้าของร้าน บาร์บิคิว พลาซ่า พร้อมที่จะให้โอกาสกับเด็กและเยาวชนที่หลงผิดกลับมา เป็นคนดีในสังคมและเชื่อในวงจรความสุข บริษัทพร้อมที่จะให้ทุนการศึกษาและให้อาชีพให้กับเยาวชนที่กลับใจเป็นคนดีและพร้อมที่จะสู่สังคมเสมอ โดยทางบริษัทมีการจัดฝึกอบรมและให้ทุนการศึกษากับผู้ด้อยโอกาสทางสังคมอยู่แล้ว มีการให้ทุนการศึกษาในระดับ ปวช. โดยไม่ต้องทำงานเพื่อทดแทนทุนการศึกษาแต่อย่างใด หากเรียนจบ ไม่ประสงค์จะทำงาน ก็ไม่ต้องใช้ทุน ขอเพียงแต่ให้นำความรู้ไปต่อยอด สร้างงาน สร้างอาชีพ สร้างรายได้ ปัจจุบันมีเด็กจบไปแล้วไม่ต่ำกว่า 300 คน
เราพร้อมให้โอกาสเด็กและเยาวชนที่หลงผิดเพื่อกลับเข้าสู่สังคมที่ดี เราจะช่วยเหลือเขาให้มีโอกาส เข้ามาเป็นคนดีในสังคม เราจะส่งเสริมเด็กที่สนใจและฝึกอบรมตามความชอบของเด็กเป็นหลัก ขั้นต่ำจะต้องผ่านระดับการศึกษา ม.3 เพื่อเรียนในระดับ ปวช. ด้านอาชีพเราไม่มีการเช็นสัญญาใช้ทุน แต่ขอให้เรียนให้จบ กลับเป็นคนดีทางสังคม เราก็ยินดี สนับสนุน โดยจะเริ่มปีนี้เป็นปีแรก นางสาว นาฑีรัตน์ กล่าว
